สรุปงานการเสวนา “แนวทางการแก้ปัญหา PM2.5 จากฝั่งธนส่งผลถึงกทม”และภาพบรรยากาศ
- Posted by admin
- Categories เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับ STC
- Date มีนาคม 28, 2023
- Comments 0 comment
- Tags
วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม จัดโครงการเสวนา ในหัวข้อ “แนวทางการแก้ปัญหา PM2.5 จากฝั่งธนส่งผลถึง กทม.” เมื่อวันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 เวลา 9.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารเฉลิมพระเกียรติ
โดยมีวิทยากรที่เข้าร่วมงานเสวนาครั้งนี้จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ คุณพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง คุณพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร คุณสมหวัง ชัยประกายวรรณ์ ผู้อำนวยการเขตบางกอกใหญ่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐกฤต ปานขลิบ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม และรองศาสตราจารย์ ดร.สายพิณ ไชยนันทน์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
โดยมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังสัมมนาจำนวนมาก ประกอบด้วย หน่วยงานราชการทางการศึกษา หน่วยงานราชการ ชุมชน ภาคเอกชน และประชาชนในเขตพื้นที่
โดยสรุป Highlight ดังนี้
คุณพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง ได้กล่าวว่า
“ฝุ่น PM2.5 เป็นมลพิษเชิงฤดูกาลที่เกิดขึ้นทั้งปี และแต่ละพื้นที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน โดยใน กทม. จะเกิดช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ. ซึ่งเกิดจากการจราจร และการเผาชีวมวลจากพืชประเภทข้าวบริเวณแถบปริมณฑลมากที่สุด ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือจะเกิดช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ซึ่งเกิดจากการเผาชีวมวลเป็นส่วนใหญ่ และสำหรับภาคใต้จะเกิดช่วงเดือน มิ.ย. ที่เป็นฤดูหน้าแล้ง โดยอีกไม่นานฝุ่น PM2.5 ใน กทม.จะค่อยๆ จางหายไป คุณภาพอากาศก็จะดีขึ้น”
โดยสาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 มาจากการเผาพืชไร่ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกในรอบใหม่ ในส่วนนี้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมให้สามารถเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะตามมา
การแก้ปัญหาสามารถดำเนินการร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยควรเริ่มต้นจากการปลูกจิตสำนึก การมีส่วนร่วม และผลักดันให้ตระหนักว่าเราทุกคนมีส่วนเป็นแหล่งกำเนิดสร้างมลพิษได้ ต้องให้ความรู้และร่วมมือกัน”
คุณพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า
“กทม. มีโครงการนักสืบฝุ่น ที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยเริ่มจากการหาต้นตอว่าฝุ่นที่เราเผชิญในแต่ละวันมีที่มาจากไหน ซึ่งก็ได้รับข้อมูลว่าฝุ่นเหล่านี้มีที่มาจาก 3 แหล่งหลัก ได้แก่ การจราจร สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล โดยจากการวิจัยพบว่า ในช่วงที่มีฝุ่นมาก จะตรวจเจอสารโพแทสเซียม /K/ ที่มีอยู่มากในฝุ่นที่เกิดจากการเผาชีวมวล กทม. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับประชาชนโดยมี 3 ข้อหลัก คือ
1. การแจ้งเตือน/ร้องเรียน ผ่าน Application เช่น Line Alert หรือ Traffy Fondue
2. ลดต้นตอที่มาของฝุ่น โดยการตั้งด่านตรวจรถบรรทุก หรือ เข้าตรวจไซต์งาน
3. รักษาสุขภาพประชาชน โดยประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ผ่านศูนย์อนามัย (แจกหน้ากาก) คลินิกตามโรงพยาบาล (ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) หรือ ห้องปลอดฝุ่นตามศูนย์เด็กเล็กต่างๆ (การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ)”
คุณสมหวัง ชัยประกายวรรณ์ ผู้อำนวยการเขตบางกอกใหญ่ กล่าวว่า
“บริเวณเขตบางกอกใหญ่เป็นเมืองโบราณที่เคยเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เรามีสิ่งปลูกสร้างอาคารสูง รวมถึงขนส่งสาธารณะที่หลากหลาย เป็นทั้งที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทางผ่านของประชาชนโดยทั่วไป เมื่อมีคนอยู่ร่วมกันมาก เราจึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชน จะต้องช่วยกันทำให้พื้นที่สะอาดและน่าอยู่ เช่น การคัดแยกขยะ หรือ การงดกิจกรรมการเผาที่อาจก่อให้เกิดมลภาวะแก่ชุมชน และพร้อมสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ความรู้ที่ถูกต้องสู่ชุมชน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐกฤต ปานขลิบ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม กล่าวว่า
“วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้สังคมเขตบางกอกใหญ่ และ กรุงเทพมหานคร ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เราได้สร้าง STC-Air Treatment Hub เครื่องบำบัดอากาศลดฝุ่น PM2.5 โดยตั้งอยู่บริเวณแยกท่าพระ หรือ การผลิต Solar Car รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เราตั้งใจพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด พร้อมส่งเข้าแข่งขันในรายการ World Solar Challenge ที่ประเทศออสเตรเลียในเดือนตุลาคมนี้”
รองศาสตราจารย์ ดร.สายพิณ ไชยนันทน์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม กล่าวว่า
“เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะตัองรักษาสุขภาพให้ดีในสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เพราะฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก สามารถลอดผ่านการกรองจากขนจมูกเข้าสู่ปอด เส้นเลือด หัวใจ และอวัยวะต่างๆ ของเราได้อย่างง่ายดาย ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าอาการจะแสดงออกมา ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือการลดการสร้างสารพิษเหล่านี้ และพยายามหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในบริเวณที่มีความเสี่ยง”
จากการเสวนาในครั้งนี้ มีข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ได้ว่า “
ปัญหาทุกอย่างจะสามารถแก้ไขได้อย่างยั่งยืน ด้วยทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน”